X

Bell’s Palsy คือ อะไร ? เหมือนกันมั้ยกับ Facial Palsy ?!

เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡

Bell’s Palsy คือ อะไร ? เหมือนกันมั้ยกับ Facial Palsy ?!

หลายๆ คน คงเคยได้ยินเกี่ยวกับอาการหน้าเบี้ยวกันมาบ้าง และอาจจะทราบมาว่าเป็นผลของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ หรือในผู้ที่ประสบกับภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ก็อาจมีภาวะหน้าเบี้ยวจากการเป็นอัมพาตครึ่งซีกได้ ทั้งนี้ ยังมีอาการที่เรียกว่า  Bell’s Palsy คือ โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย และสามารถรักษาให้หายได้ ในบทความนี้จะพาให้ทุกคนได้รู้จักกับโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกกันให้มากขึ้น รวมถึงความแตกต่างระหว่างภาวะอัมพาตบนใบหน้า (Facial Palsy) กับโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ว่ามีความต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้สังเกตและดูแลตัวเองกันค่ะ

Bell’s Palsy คือ อะไร ?

Bell's Palsy คือ, facial palsy คือ
Image Credit : vikram ent hospital

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s Palsy คืออาการที่เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก หรือเกิดอัมพาตชั่วขณะ ทำให้ไม่สามารถขยับใบหน้าซีกนั้นได้ เป็นผลมาจากเส้นประสาทบนใบหน้า หรือเส้นประสาทสมอง (Cranial Nerve) คู่ที่ 7 ซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแสดงสีหน้าไม่ทำงาน หรือมีความผิดปกติ โดยเกิดการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งสาเหตุอาจมาจากการติดเชื้อไวรัส เช่น เริม (Herpes Simplex Virus) หรือ งูสวัด (Harpes Zoster) (อ่านเพิ่มเติม โรคงูสวัด เกิดจากอะไร) ที่แฝงอยู่ในปมประสาท หากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำลง ก็จะทำให้เกิดโรคนี้ได้

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรืออัมพาตเบลล์ เป็นอาการที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะมีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคใบหน้าครึ่งซีก อาทิ หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า โดยจะเกิดขึ้นเฉพาะยะระสามเดือนสุดท้าย และหลังคลอด ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถใช้ครื่องตรวจเบาหวานเช็กตัวเองเพื่อป้องกันได้ นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเบาหวานอยู่แล้ว เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุหรือได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง และผู้ที่มีภาวะเครียดสูง ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็มีโอกาสที่จะเกิดโรคนี้ได้

เกร็ดสุขภาพ : สาเหตุที่ได้ชื่อว่า อัมพาตเบล หรือ Bell’s Palsy คือ ถูกค้นพบโดยนักกายวิภาคและศัลแพทย์ชาวสก็อต ชื่อ Charles Bell ซึ่งได้ทำการค้นพบว่า การตัดเส้นประสาทในสมองคู่ที่ 7 ทำให้เกิดอัมพาตบนใบหน้าขึ้น จึงได้ตั้งชื่อว่า Bell’s Palsy ตามนายแพทย์ที่ค้นพบโรคนี้นั่นเอง

อาการของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

อาการของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s Palsy คือจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยอาจตื่นขึ้นมาและมีอาการของโรคได้ทันที และจะมีอาการรุนแรงภายในช่วง 48 ชั่วโมงแรก โดยมีอาการต่างๆ ดังนี้

  • ชาบริเวณใบหน้าครึ่งซีก กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง
  • เมื่อดื่มน้ำจะมีน้ำไหลออกจากมุมปาก
  • ปากเบี้ยว มุมปากตก พูดไม่ชัด 
  • อาจมีอาการปวดหู และได้ยินเสียงดังมากผิดปกติในช่วงระยะแรก 
  • หลับตาได้ไม่สนิท เปลือกตาล่างเปิดออก ยักคิ้วไม่ได้ 
  • ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ มีเศษอาหารตกค้างอยู่บริเวณกระพุ้งแก้ม
  • รับรสชาติได้น้อยลง

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก รักษาได้หรือไม่ ?

Bell's Palsy คือ, facial palsy คือ
Image Credit : pacificneuroscienceinstitute

หากมีอาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก แพทย์จะทำการรักษาโดยการใช้ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ การให้ยาฆ่าเชื้อไวรัส การทำกายภาพบำบัด โดยการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรงได้ทำงาน เพื่อให้เส้นประสาทได้ฟื้นตัว ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 3 – 4 สัปดาห์ และหายเป็นปกติภายใน 3 – 6 เดือน ซึ่งวิธีการทำกายภาพบำบัดสามารถทำได้ดังนี้

  • การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าที่ยังอ่อนแรง โดยบริหารท่าละ 10 – 20 ครั้งต่อรอบ 
  • ประคบร้อนบริเวณซีกใบหน้าที่มีอาการ ประมาณครั้งละ 15 – 20 นาที วันละ 1 – 2 ครั้ง เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และลดการตึงของกล้ามเนื้อใบหน้า แต่ควรระวังการประคบร้อนในผู้ป่วยที่มีอาการชาของใบหน้า เพราะอาจไม่รู้สึกถึงความร้อนมากเกินไปและเป็นอันตรายได้ 
  • กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าที่มีการอ่อนแรงด้วยไฟฟ้า เพื่อให้กล้ามเนื้อมีการหดตัวและคลายตัว เพื่อเป็นการชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะใช้การกระตุ้นไฟฟ้ากรณีที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด
  • การนวดใบหน้า โดยการใช้ปลายนิ้วนวดคลึงใบหน้าเบาๆ ช้าๆ ตามแนวกล้ามเนื้อใบหน้าแต่ละมัด เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อใบหน้า

นอกจากอาการซึมเศร้าตามฤดูกาลที่ได้กล่าวไปในข้างต้นแล้ว ทางฝั่งตะวันตกยังได้แบ่งอาการซึมเศร้าออกเป็น อาการซึมเศร้าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว (Fall – Winter) กับอาการซึมเศร้าในช่วงฤดูร้อนถึงฤดูไบไม้ผลิ (Spring – Summer) โดยมีการสันนิษฐานว่า เนื่องจากสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมตามช่วงฤดูนั้นๆ อาจส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราด้วย ดังนี้

เกร็ดสุขภาพ : โรค Bell’s Palsy จัดเป็นโรคที่ไม่อันตรายร้ายแรง แม้อาการดูรุนแรงแต่ผู้ป่วยจะค่อยๆ ฟื้นตัวและสามารถหายได้ภายใน 2 – 8 สัปดาห์ และหายได้สนิท แต่อาจมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ต้องใช้เวลามากกว่า 8 สัปดาห์ และมีร่องรอยของอาการปากเบี้ยวอยู่บ้าง ซึ่งอาจกินเวลาตั้งแต่ 2 เดือนจนถึง 2 ปี และคนที่มีอายุมากกว่าจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนที่มีอายุน้อย

โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s Palsy ต่างจาก Facial Palsy อย่างไร ?

Facial Palsy คือ อัมพาตกล้ามเนื้อใบหน้า เกิดจากภาวะ Stroke หรือโรคหลอดเลือดในสมอง เป็นภาวะที่สมองขาดเลือด อันเกิดจากหลอดเลือดในสมองตีบ หรืออุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน และส่งผลทำให้เป็นอัมพาตได้ ทั้งนี้ Facial Palsy อาจเกิดจากเนื้องอกในสมอง หรืออาจมีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง และเกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทในสมอง ทำให้ส่งผลต่อภาวะอัมพาตใบหน้าได้เช่นกัน ซึ่งแตกต่างจาก Bell’s Palsy คือ มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากไวรัส

Facial Palsy มักจะเกิดขึ้นอย่างถาวรมากกว่าโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก และภาวะอัมพาตกล้ามเนื้อใบหน้าไม่สามารถหายได้เอง หากไม่ทำการรักษาอาจทำให้อาการทรุดหนักลงได้ และอาจมีภาวะอัมพาตใบหน้าไปตลอดชีวิต ซึ่งการวินิจฉัยแยกระหว่างทั้งสองโรคนี้ทำได้โดยการทำ CT scan หรือ MRI เพื่อระบุสาเหตุของอาการผู้ป่วย และทำการรักษาได้อย่างถูกโรคค่ะ

อาการที่แตกต่างกันระหว่าง Bell’s Palsy และ Facial Palsy

Bell's Palsy คือ, facial palsy คือ
Image Credit : nejm.org

ผู้ที่มีอาการอัมพาตใบหน้าแบบ Facial Palsy คือเกิดจากโรคเลือดในสมองอาจมีอาการหน้าเบี้ยวได้ แต่ยังคงสามารถยักคิ้วและหลับตาได้สนิทในด้านเดียวกับที่มีมุมปากตก และมักมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณแขนขาครึ่งซีกร่วมด้วย ร่วมกับอาการพูดไม่ชัด ในขณะที่ผู้ที่เป็นอัมพาตเบลหรือโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกจะไม่สามารถยักคิ้วได้ หนังตาตก และไม่สามารถหลับตาได้สนิทค่ะ

การรักษา Facial Palsy

เนื่องจาก Facial Palsy คืออาการที่สืบเนื่องมาจากความผิดปกติของสมอง หรือเกิดจากโรคเลือดในสมองตีบ มีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง ฯลฯ ดังนั้น จึงต้องทำการรักษาที่ต้นเหตุ กล่าวคือ รักษาโรคความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมอง ผู้ที่มีอาการ Stroke ควรรีบไปพบแพทย์และนำส่งโรงพยาบาลทันที เส้นเลือดที่ตีบหรือแตกทำให้ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมอง เซลล์สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้เซลล์สมองตาย หากไม่ได้รับการรักษาให้ทันเวลา อาจมีอันตรายถึงชีวิตหรือส่งผลต่อความพิการและทุพลภาพได้

ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่า Bell’s Palsy คืออะไร และแตกต่างจาก Facial Palsy อย่างไร Bell’s Palsy หรือโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ไม่ใช่ภาวะรุนแรง และอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยให้ชัดเจนและทำการรักษาต่อไป แต่ถ้าเกิดภาวะอัมพาตกล้ามเนื้อใบหน้าอันเนื่องมาจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตค่ะ

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : petcharavejhospital.com, facialpalsy.org.uk, sriphat.med.cmu.ac.th, mayoclinic.org

Featured Image Credit : freepik.com/doucefleur

ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ

ติดต่อโฆษณา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้การวิเคราะห์

    เราขออนุญาติใช้คุกกี้นี้เก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีขึ้นให้กับคุณ

Save