“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด ? ชวนรู้จัก สารอาหารแห่งความชะลอวัย กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด !
ร่างกายของมนุษย์เรานั้น ย่อมเสื่อมไปตามวัย การดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ และเข้านอนก่อน 5 ทุ่มเพื่อให้ Growth Hormone หลั่ง ก็จะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ และช่วยให้แก่ช้าลงได้ ทั้งนี้ มีสารอาหารตามธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ แอสตาแซธิน บางคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อกับสารตัวนี้กันมากนัก ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับสารชนิดนี้ให้มากขึ้นกัน รวมถึงวิธีกินให้ได้ประโยชน์มากที่สุด แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด ? มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร มีผลข้างเคียงต่อร่างกายหรือไม่ ไปอ่านกันเลยค่ะ
แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด ? ชวนรู้จักสารแห่งความชะลอวัย กินเวลาไหนได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
หากพูดถึงสารอาหารที่ช่วยชะลอวัย หรือช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย บางคนก็อาจจะนึกถึงโคเอ็นไซม์คิวเท็น ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ และโดดเด่นในเรื่องการช่วยลดเลือนริ้วรอยและชะลอความชรา ทั้งนี้ ยังมีสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยเรื่องความเยาว์วัยได้เช่นกัน ซึ่งก็คือ แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง เป็นหนึ่งในสารประเภทแคโรทีนอยด์ในธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดสีแดงหรือสีชมพูในพืชหรือสัตว์ เป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ นิยมนำมาใช้เป็นอาหารเสริมในการดูแลสุขภาพ ช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกาย ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย แล้วแอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด ? เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงประเด็นนี้กันต่อไปค่ะ
เกร็ดสุขภาพ : อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ถูกสร้างขึ้นโดยร่างกายของเรา ซึ่งเกิดจากกระบวนการเผาผลาญพลังงาน เสมือนเป็นของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมนั่นเอง หากร่างกายมีการสร้างอนุมูลอิสระมากเกินไป จะทำให้ขาดความสมดุล โดยอนุมูลอิสระจะทำร้ายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง เกิดความเสื่อมของร่างกาย ทั้งนี้ มลพิษในอากาศฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม รังสียูวีในแสงแดด แม้กระทั่งความเครียดจากการทำงาน ก็เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
วิธีกินแอสตาแซนธินให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ตอนนี้เราก็รู้จักแอสต้าแซนทินกันมากขึ้นแล้ว สำหรับข้อสงสัยที่ว่า แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด ? ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์จากแอสตาแซนธินอย่างเต็มที่ ก็ควรรับประทานในช่วงเช้า ก่อนร่างกายจะออกไปเจอกับแสงแดด มลภาวะ ความเครียด และสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ จะได้ทำหน้าที่คล้ายกับเกราะป้องกันอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ แอสตาแซนธินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายได้ในไขมัน หากกินพร้อมมื้ออาหาร หรือกินหลังอาหารมื้อเช้า ก็จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้นค่ะ
แหล่งของแอสตาแซนธิน พบได้ในไหนบ้าง ?
ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุดโดยส่วนใหญ่แล้ว แอสตาแซนธินจะอยู่ในรูปของอาหารเสริม เพราะรับประทานได้สะดวก รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม จะพบแอสตาแซนธินในสัตว์และพืที่มีสีแดงเป็นส่วนใหญ่ เช่น ในเนื้อปลาแซลมอน กุ้ง ปู กุ้งมังกร เคย และพบมากที่สุดในสาหร่ายทะเลน้ำลึกที่มีชื่อว่า Haematococcus pluvialis ซึ่งแอสตาแซนธินที่อยู่ในรูปแบบอาหารเสริมส่วนใหญ่จะสกัดจากสาหร่ายชนิดนี้ โดยส่วนมากแล้วจะเป็นสาหร่ายที่ถูกเพาะเลี้ยงเพื่อนำมาสกัดเป็นอาหารเสริมโดยเฉพาะ สำหรับปริมาณแอสตาแซนธินที่แนะนำต่อวัน จะอยู่ที่ 4 มิลลิกรัม ถึง 12 มิลลิกรัม ทั้งนี้ การรับประทานแอสตาแซนธิน ผลข้างเคียงอาจทำให้อุจจาระมีสีแดง และมีความผิดปกติได้ หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป
ประโยชน์ของแอสตาแซนธิน
1. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด
แอสตาแซนธินขึ้นชื่อว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะมีคุณสมบัติพิเศษ สามารถปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ได้ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งแตกต่างกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ อย่างเบต้าแคโรทีน หรือวิตามินซีที่ช่วยป้องป้องภายในหรือภายนอกของเยื่อหุ้มเซลล์เท่านั้น
2. ช่วยชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย
มีการศึกษาพบว่า การรับประทานแอสตาแซนธินวันละ 4 มิลลิกรัมต่อวัน นานต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยแลดูจางลง ผิวหนังมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ซึ่งแอสต้าแซนทินจะช่วยดักจับอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ผิวหนังไม่ถูกทำลาย และสร้างใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าใครต้องการใช้แอสตาแซนธินเพื่อบำรุงผิวพรรณ แอสตาแซนธินกินตอนไหนดีที่สุด ? แนะนำว่าให้กินตอนเช้าก่อนออกไปเจอแสงแดดและมลภาวะ เพื่อปกป้องผิวของเราค่ะ
3. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
อนุมูลอิสระสามารถทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือดของเราได้ ส่งผลให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ซึ่งแอสตาแซนธินทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระมาทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ แอสตาแซนธินยังช่วยลดระดับไขมัน และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิด HDL ในร่างกายอีกด้วย
4. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
เมื่อร่างกายมีอนุมูลอิสระมาก เซลล์ตับอ่อนก็จะถูกทำลายได้ง่าย ทำให้อินซูลินทำงานผิดปกติ และเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทั้งนี้ แอสตาแซนธินธรรมชาติสามารถลดอนุมูลอิสระในเซลล์ตับอ่อนได้ และยังเพิ่มความไวต่อการทำงานของอินซูลินอีกด้วย
5. ลดการอักเสบและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
หากร่างกายมีการอักเสบอย่างต่อเนื่อง จะนำไปสู่โรคร้ายแรงต่างๆ ได้ ทั้งเบาหวาน มะเร็ง และโรคหัวใจ ซึ่งแอสตาแซนธินสามารถลดการอักเสบในร่างกายได้ และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย โดยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
6. ช่วยในเรื่องการมองเห็น
เมื่ออายุมากขึ้น ก็จะมีปัญหาทางสุขภาพดวงตาตามมา เช่น จอประสาทตาเสื่อม ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรคต้อกระจก มีการศึกษาพบว่า แอสตาแซนธินช่วยบำรุงสุขภาพดวงตาของเราได้ และช่วยปกป้องเซลล์จอประสาทตาจากความเสื่อมได้ด้วย ทั้งยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาได้ด้วยเช่นกัน
7. ช่วยในเรื่องความจำ
สารจำพวกแคโรทีนอยด์นั้นมีประโยชน์ต่อสมองของเรา เพราะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท โดยแอสต้าแซนทินจะช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ประสาท ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ รวมทั้งช่วยป้องกันความผิดปกติด้านความจำและการรู้คิดของสมองอีกด้วย
เกร็ดสุขภาพ : ใครบ้างที่ควรรับประทานแอสตาแซนธิน ? ความจริงแล้ว แอสตาแซนธินรับประทานได้ในผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ต้องเจอกับมลภาวะต่างๆ เป็นประจำ หรือทำงานหนักและมีความเครียดบ่อยๆ รวมถึงผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์และใช้สายตาเป็นเวลานานๆ เป็นต้น ซึ่งแอสตาแซนธิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูง ช่วยในการต้านความเสื่อมของร่างกายได้เป็นอย่างดี
แอสตาแซนธิน ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง
- ยังไม่มีผลการศึกษาว่า เด็ก ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี รวมถึงสตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร สามารถใช้แอสตาแซนธินอย่างปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้น จึงไม่ควรใช้แอสตาแซนธิน
- สำหรับคนที่แพ้สารแคโรทีนอยด์ อาจมีโอกาสแพ้แอสตาแซนธินได้
- อาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการใช้แอสตาแซนธินร่วมกับสมุนไพรลดความดันโลหิตสูงหรือยาลดความดันโลหิต
- แอสตาแซนธินอาจลดระดับแคลเซียมในเลือดได้ ควรระมัดระวังการรับประทานแอสตาแซนธินในผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน คนไข้โรคต่อมพาราไทรอยด์ หรือผู้ที่มีปริมาณแคลเซียมในเลือดต่ำ
- แอสตาแซนธิน อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หากมีโรคประจำตัวดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแอสตาแซนธิน
สำหรับคนที่สนใจจะรับประทานแอสตาแซนธิน ก็คงได้ข้อมูลเกี่ยวกับสารอาหารชนิดนี้มากขึ้นแล้ว รวมถึงได้คำตอบว่า แอสตาแซนธิน กินตอนไหนดีที่สุด ซึ่งก็คือควรกินตอนเช้า หลังมื้ออาหาร หรือกินพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมัน เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีขึ้น ถ้าใครอยากจะดูแลตัวเองให้มากขึ้น ก็สามารถกินแอสตาแซนธินในรูปแบบของอาหารเสริมได้ แต่ต้องซื้อจากแหล่งที่มาที่ปลอดภัย ได้รับการรับรองสำหรับการผลิตอาหารเสริม ที่สำคัญคือต้องมี อย. เพื่อความปลอดภัยของเราเอง ทั้งนี้ แอสตาแซนธิน ผลข้างเคียงก็มีเช่นกัน หากรับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้ปวดท้องได้ รวมถึงบุคคลบางกลุ่มที่ไม่เหมาะสำหรับการกินแอสตาแซนธิน เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพได้ ถ้าเรารับประทานอย่างถูกวิธี ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอนค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : healthcareweekly.com, healthline.com, webmd.com, draxe.com
Featured Image Credit : freepik.com/cookie_studio
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ