“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
อาการคนเป็นไบโพล่าเป็นอย่างไร ? คำแนะนำสำหรับคนที่อยู่ร่วมกัน !
โรคไบโพล่าหรือโรคอารมณ์สองขั้วเป็นความผิดปกติด้านสุขภาพจิต อาการคนเป็นไบโพล่า จะมีภาวะอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสลับกันไป ในผู้ป่วยจะมีช่วงอารมณ์ดีอย่างสุดขีดจนเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง หรือภาวะ hypomania โดยอาจรู้สึกร่าเริง เต็มไปด้วยพลังงานหรืออาจหงุดหงิดผิดปกติ ส่วนในช่วงที่รู้สึกเศร้า อาการคนเป็นไบโพล่าก็จะรู้สึกหดหู่ใจหรือสิ้นหวัง และหมดความสนใจในกิจกรรมต่างๆ
อาการคนเป็นไบโพล่าจะมีความแปรปรวนของอารมณ์อย่างสุดขั้ว ไม่สามารถคาดการณ์ช่วงเวลาที่มันจะเกิดหรือเปลี่ยนแปลงไปได้ และมักส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ ระดับพลังชีวิต ความสามารถในการตัดสินใจ การควบคุมพฤติกรรม และความสามารถในการคิด
อาการคนเป็นไบโพล่า
อาการหลักของโรคคือระยะอารมณ์ที่รุนแรงที่เรียกว่า “ตอนอารมณ์” ตอนเหล่านี้สามารถเปลี่ยนจากความสุขสุดขีดหรือความปิติยินดี (ความบ้าคลั่ง) เป็นความโศกเศร้าหรือความสิ้นหวัง (ภาวะซึมเศร้า) บางครั้งอาการคนเป็นไบโพล่าจะพบทั้งสุขและเศร้าไปพร้อม ๆ กัน (สภาวะผสม)
ภาวะบ้าคลั่งหรือภาวะ hypomanic ได้แก่
- ร่าเริงผิดปกติ
- มีพลังงานในการทำกิจกรรมเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
- รู้สึกดีและมั่นใจในตนเองเกินจริง
- ความต้องการนอนลดลง
- ช่างพูดมากกว่าปกติ
- มีความคิดอยากแข่งรถ
- ความคิดฟุ้งซ่าน
- มีการตัดสินใจที่ไม่ดี เช่น การซื้อของเพื่อความสนุกสนาน
อาการซึมเศร้าที่สำคัญ
- อารมณ์ซึมเศร้า เช่น รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า สิ้นหวัง หรือน้ำตาไหล (ในเด็กและวัยรุ่น อารมณ์ซึมเศร้าอาจปรากฏเป็นอาการหงุดหงิด)
- แสดงออกให้เห็นว่าหมดความสนใจหรือรู้สึกไม่พึงพอใจในกิจกรรมต่างๆ
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วแม้ไม่ได้อดอาหาร
- นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
- กระสับกระส่าย หรือมีพฤติกรรมเชื่องช้า
- เหนื่อยล้า
- ความรู้สึกไร้ค่าหรือมีความรู้สึกผิดมากเกินไป
- ความสามารถในการคิดหรือมีสมาธิลดลง
- คิด วางแผน หรือพยายามฆ่าตัวตาย
การรักษา
การรักษาอาการคนเป็นไบโพล่าจำเป็นต้องได้รับการประเมินจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพื่อให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมโดยอาการคนเป็นไบโพล่าหลายๆคนอาจต้องได้รับการรักษาด้วยการทานยา การให้คำปรึกษา หรือแม้กระทั่งการทำกิจกรรมบำบัด เช่น ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด เป็นต้น
อย่างไรก็ตามโรคไบโพล่ามักใช้เวลารักษาที่ค่อนข้างนาน และความแปรปรวนของอารมณ์สามารถดีขึ้นหรือแย่ลงได้ตามสิ่งแวดล้อมที่เข้ามากระตุ้น ดังนั้นบุคคลรอบข้างและสังคมจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาอาการคนเป็นไบโพล่าประสบความสำเร็จ
เกร็ดสุขภาพ : ปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการกลับมาใหม่ ที่พบบ่อย คือ ภาวะเครียด การอดนอน และการขาดยา ดังนั้นผู้ดูแลต้องหมั่นสังเกตว่าผู้ป่วยกำลังเครียด อดนอน หรือขาดยาหรือไม่ และหมั่นเตือนให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย มีกิจกรรมคลายเครียด และกินยาตามแพทย์สั่งเคร่งครัด
การดูแลหรืออยู่ร่วมกับคนเป็นไบโพล่า
ผู้ที่เป็นโรคไบโพล่ามักประสบปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งกระบวนการรักษาอาจต้องใช้เวลาพอสมควร อย่างไรก็ตามการสนับสนุนอย่างถูกต้องจากคนรอบข้าง ความรัก ความเข้าใจ และ ความอบอุ่นในครอบครัว สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีอารมณ์แปรปรวน และนี่คือ 9 ขั้นตอนที่คุณสามารถอยู่ร่วมกับคนเป็นไบโพล่าได้
หาความรู้เรื่องโรคไบโพล่า
การอยู่ร่วมกับคนเป็นไบโพล่า ต้องเริ่มจากคุณเข้าใจอาการของผู้ป่วยของทั้งในช่วงบ้าคลั่งและช่วงภาวะซึมเศร้าจะสามารถช่วยให้คุณตอบสนองอย่างเหมาะสมในระหว่างที่ผู้ป่วยมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง
รับฟัง
คุณไม่จำเป็นต้องตอบคำถามหรือให้คำแนะนำกับผู้ป่วยเสมอไป อันที่จริงการเป็นผู้ฟังที่ดีเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยคนเป็นโรคไบโพล่าได้ระบายความรู้สึกที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ คุณสามารถเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้นได้โดย
- ตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาพูด
- สงบสติอารมณ์ระหว่างสนทนา
- หลีกเลี่ยงข้อโต้แย้ง
- หลีกเลี่ยงหัวข้อใด ๆ ที่ดูเหมือนระคายเคืองหรือหงุดหงิดใจพวกเขา
คอยอยู่เคียงข้าง
บางครั้งผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์อาจรู้สึกว่าคนทั้งโลกต่อต้านพวกเขา การทำให้เขามั่นใจว่าจะมีคุณอยู่เคียงข้างเขาเสมอ สามารถช่วยให้พวกเขารู้สึกมั่นคงขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับพฤติกรรมและการกระทำของคนๆ นั้น แต่การบอกพวกเขาว่าคุณพร้อมจะช่วยเหลือเขาเสมอจะช่วยให้พวกเขาหายจากอาการซึมเศร้า และเรียนรู้วิธีการมูฟออนได้ง่ายขึ้น
ช่วยเหลือในการรักษา
การรักษาผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์มักจะต้องไปพบแพทย์และเข้ารับการทำจิตบำบัดหลายครั้ง การมีใครสักคนที่คอยช่วยเหลือและพูดคุยระหว่างที่รอการรักษาอาจช่วยลดความเครียดหรือความวิตกกังวลได้
วางแผนรับมือเมื่อเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวน
เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาการเกิดอาการของโรคไบโพล่าได้ ดังนั้นการวางแผนเพื่อรับมือกับผู้ป่วยในช่วงที่มีอารมณ์รุนแรง เช่น การดูแลเมื่อผู้ป่วยรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย จะช่วยให้ผู้ป่วยผ่านช่วงเวลาที่สุดโต่งและกลับมามีสภาวะจิตใจที่สงบได้ง่ายขึ้น
คอยสนับสนุนและส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญเมื่อถึงเวลา
การสนับสนุนของคนรอบข้างทั้งด้านจิตใจและด้านการรักษาจะช่วยให้เขาสามารถควบคุมอารมร์ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อไรที่คุณเริ่มรู้สึกว่าคุณไม่สามารถรับมือในบางเหตุการณ์หรือบางสภาวะอารมณ์ได้ คุณจำเป็นต้องรีบส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือสุขภาพจิตเข้ามาจัดการ
มีความเข้าใจ
อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสิ่งที่ผู้ป่วยไบโพล่ากำลังประสบอยู่ บางทีแม้แต่ผู้ป่วยเองก็อาจไม่ทราบว่าเหตุใดอารมณ์จึงเปลี่ยนไป การพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่บุคคลนั้นกำลังเผชิญและให้การสนับสนุนอาจสร้างพลังบวกในความรู้สึกของผู้ป่วยได้
อย่าละเลยตัวเอง
ในขณะที่คุณดูแลคนที่เป็นโรคไบโพล่าคุณก็อาจลืมดูแลตัวเองได้เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่คุณจะช่วยเหลือใคร คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน เช่น คุณต้องนอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม และออกกำลังกายเป็นประจำ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และเมื่อคุณมีสุขภาพกายและจิตที่ดีแล้วคุณก็จะมีพลังในการดูแลผู้อื่นต่อไป
อดทนและมองโลกในแง่ดี
โรคไบโพล่าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นระยะยาว บางคนอาจมีอาการอารมณ์แปรปรวนเกิดขึ้นไปตลอดชีวิต และไม่สามารถคาดเดาช่วงเวลาของการเกิด ดังนั้นความอดทนและพยายามมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ตัวคุณเองและผู้ป่วยมีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้
โรคไบโพล่าเป็นสภาวะความแปรปรวนที่รุุนแรงของอารมณ์ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย และเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามหากบุคคลรอบข้างมีความรู้และเข้าใจในการรับมือและอยู่ร่วมกับความแปรปรวนนั้น ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์ได้และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
เกร็ดสุขภาพ : การดูแลผู้ป่วยไบโพลาร์เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความอดทนและความเข้าใจอย่างมาก ผู้ดูแลต้องแบ่งเวลามาดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเองด้วย อาจหาคนมาช่วยสับเปลี่ยนดูแลเพื่อไปพักผ่อนเป็นระยะ รู้จักวิธีฝึกผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม อย่าลืมว่าสุขภาพของตัวเองก็สำคัญ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : mayoclinic.org, healthline.com
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ