“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
กินน้ำเยอะ แต่ปากแห้ง ? เป็นเพราะอะไร ? พร้อมวิธีแก้ไขเมื่อการดื่มน้ำไม่ช่วยบรรเทา !
“อาการปากแห้ง” ชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยประสบปัญหานี้มาก่อน ทำให้รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเวลากินอาหาร หรือดื่มน้ำ หลายคนอาจจะคิดว่าถ้าเราดื่มน้ำเยอะๆ แล้วจะสามารถลดโอกาสการเกิดอาการปากแห้งได้ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าตนเองนั้นดื่มน้ำในปริมาณที่น่าจะพอประมาณแล้ว กินน้ำเยอะ แต่ปากแห้ง อยู่ดี ดังนั้นในบทความนี้ เพื่อสุขภาพ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอาการปากแห้งไปพร้อมๆ กับแชร์ความเข้าใจว่าเราควรจะดื่มน้ำในแต่ละวันแค่ไหน แบบไหนเรียกว่าดื่มน้ำเยอะเกินไปหรือน้อยเกินไป แบบไหนที่เรียกว่าพอเหมาะกับที่ร่างกายเราต้องการ พร้อมวิธีแก้ปัญหาอาการปากแห้งกัน
ชวนเข้าใจ กินน้ำเยอะ แต่ปากแห้งอยู่ดี เพราะอะไร ? สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ !
น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย และเรามักได้ยินคำแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อสุขภาพที่ดี แต่จะเป็นอย่างไรหากคุณดื่มน้ำมากแล้ว กลับพบว่าปากยังคงแห้งผากอยู่เช่นเดิม ? อาการนี้ไม่เพียงแต่สร้างความรำคาญเท่านั้น แต่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่แอบแฝงอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจสาเหตุ และวิธีจัดการกับอาการปากแห้งที่ไม่หายไปแม้ดื่มน้ำมาก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ตามมาอ่านรายละเอียดกันต่อเลยค่ะ
รู้จักภาวะปากแห้ง หรือ Xerostomia กัน !
ภาวะปากแห้ง หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Xerostomia เป็นอาการที่เกิดจากการมีน้ำลายน้อยกว่าปกติในช่องปาก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าปากแห้ง ไม่ชุ่มชื้น หรือเหนียวเหนอะในช่องปาก ภาวะนี้ไม่ใช่โรคโดยตัวเอง แต่เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในการทำงานของต่อมน้ำลายหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ โดยปกติแล้ว เรามีต่อมน้ำลายหลายต่อมในช่องปากที่ผลิตน้ำลายตลอดเวลาเพื่อหล่อลื่นช่องปาก ช่วยในการย่อยอาหาร และป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีภาวะปากแห้งอาจมีอาการดังนี้
- รู้สึกกระหายน้ำบ่อย
- มีปัญหาในการเคี้ยว หรือกลืนอาหาร โดยเฉพาะอาหารแห้ง
- รู้สึกแสบร้อนในลิ้นหรือปาก
- มีกลิ่นปาก
- ริมฝีปากแห้งหรือแตก
- เกิดการติดเชื้อในช่องปากได้ง่าย
ภาวะปากแห้งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทำให้รู้สึกไม่สบายและอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ได้ หากมีอาการปากแห้งเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และรับการรักษาที่เหมาะสม
กินน้ำเยอะ แต่ปากแห้ง เกิดจากอะไรได้บ้าง ?
มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะปากแห้งได้ เรามาดูกันค่ะว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง
1. ภาวะปากแห้งน้ำลายน้อย (Xerostomia)
เป็นภาวะที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายได้น้อยลงกว่าปกติ ส่งผลให้ปากแห้งแม้จะดื่มน้ำมาก ภาวะนี้อาจเกิดจากความเสื่อมของต่อมน้ำลายตามวัย หรือเป็นผลจากการรักษาบางอย่าง เช่น การฉายรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ
2. ผลข้างเคียงของยา
ยาหลายชนิดมีผลข้างเคียงทำให้ปากแห้งได้ โดยเฉพาะยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ และยาบางชนิดที่ใช้รักษาอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ยาเหล่านี้อาจรบกวนการทำงานของต่อมน้ำลายหรือลดการผลิตน้ำลาย ทำให้รู้สึกปากแห้งแม้จะดื่มน้ำมากก็ตาม
3. โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีสามารถทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้ร่างกายพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ นอกจากนี้ เบาหวานยังอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมน้ำลายโดยตรงได้
4. ภาวะขาดน้ำเรื้อรัง
ภาวะขาดน้ำเรื้อรังอาจเกิดขึ้นได้แม้คุณจะดื่มน้ำมาก หากร่างกายสูญเสียน้ำเร็วกว่าที่ได้รับทดแทน เช่น จากการออกกำลังกายหนัก อากาศร้อนจัด หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป ภาวะนี้ทำให้ร่างกายพยายามเก็บน้ำไว้ใช้ในส่วนที่สำคัญ ส่งผลให้รู้สึกปากแห้ง
5. โรคออโตอิมมูน
โรคออโตอิมมูนบางชนิด เช่น Sjögren’s syndrome เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีต่อมที่ผลิตของเหลวในร่างกาย รวมถึงต่อมน้ำลาย ทำให้การผลิตน้ำลายลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยจึงมักมีอาการปากแห้งรุนแรงแม้จะดื่มน้ำมาก
6. การหายใจทางปาก
การหายใจทางปากเป็นประจำ ไม่ว่าจะเกิดจากการอุดตันของจมูก นิสัยการนอน หรือปัญหาโครงสร้างของจมูก สามารถทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ เพราะอากาศที่ผ่านเข้าออกปากจะพาความชื้นออกไปด้วย ทำให้เยื่อบุในปากแห้งเร็วกว่าปกติ
7. ความเครียด หรือ ความวิตกกังวล
ความเครียดและความวิตกกังวลสามารถส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำลายและทำให้รู้สึกปากแห้งได้ ในภาวะเครียด ร่างกายอาจลดการผลิตน้ำลายลง หรือเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของน้ำลาย นอกจากนี้ ความเครียดยังอาจทำให้หายใจทางปากมากขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ปากแห้ง
อาการของภาวะปากแห้ง เป็นยังไง ?
หากคุณเป็นคนกินน้ำเยอะ แต่ปากแห้งอยู่บ่อยๆ ลองมาเช็กอาการของภาวะปากแห้งกัน เพื่อหาวิธีรักษาที่ถูกต้องกันนะคะ
- ความรู้สึกแห้งในปาก และคอ : ผู้ป่วยมักรู้สึกว่าปากและคอแห้งผิดปกติ ทำให้รู้สึกไม่สบายคอ และต้องดื่มน้ำบ่อยๆ
- ความยากลำบากในการเคี้ยว และกลืนอาหาร : น้ำลายมีบทบาทสำคัญในการหล่อลื่นอาหาร การขาดน้ำลายทำให้การเคี้ยว และกลืนอาหารเป็นไปอย่างยากลำบาก
- รู้สึกได้ว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป : น้ำลายช่วยในการรับรสชาติ เมื่อมีน้ำลายน้อยลง อาจทำให้รับรสชาติอาหารได้ไม่เต็มที่หรือเปลี่ยนแปลงไป
- กลิ่นปาก : การขาดน้ำลายทำให้แบคทีเรียในปากเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์
- ริมฝีปากแห้ง และแตก : น้ำลายช่วยรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปาก เมื่อมีน้ำลายน้อยลง ริมฝีปากอาจแห้งและแตกได้ง่าย
- การพูดลำบาก : น้ำลายช่วยหล่อลื่นช่องปากและลิ้น การขาดน้ำลายอาจทำให้พูดติดขัดหรือไม่ชัดเจน
- การติดเชื้อในช่องปากเพิ่มขึ้น : น้ำลายมีคุณสมบัติต้านเชื้อ เมื่อมีน้ำลายน้อยลง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องปาก
- ฟันผุ และโรคเหงือกเพิ่มขึ้น : น้ำลายช่วยป้องกันฟันผุ และรักษาสุขภาพเหงือก การขาดน้ำลายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพช่องปาก
- ความรู้สึกเหนียวในปาก : ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ามีเมือกเหนียวในปาก ซึ่งเป็นผลจากการความสมดุลที่เปลี่ยนไปของน้ำลาย
- การตื่นกลางดึกเพื่อดื่มน้ำ : ความรู้สึกแห้งในปากอาจรบกวนการนอนหลับ ทำให้ต้องตื่นมาดื่มน้ำบ่อยๆ
เกร็ดสุขภาพ : อาการร้อนในหรือแผลในปาก สามารถเกิดขึ้นได้โดยหลายสาเหตุ เช่น การแพ้อาหาร แบคทีเรียในช่องปาก ความเครียดหรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ สามารถรักษาได้โดยการงดอาหารประเภทรสจัด การใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดอ่อน หรือการนำสมุนไพรมาช่วยในการรักษา เช่น การดื่มน้ำกระชายน้ำผึ้งมะนาว ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการจากช่องปากได้
เราจะแก้ปัญหาภาวะปากแห้ง ยังไงดี ?
วิธีการแก้ปัญหาภาวะปากแห้งในเบื้องต้นนั้น ที่สามารถเริ่มได้ด้วยตัวเอง มีวิธีการดังนี้ค่ะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นทั่วร่างกายและในช่องปาก ลองพกขวดน้ำติดตัวเพื่อจิบน้ำบ่อยๆ ระหว่างวันกันนะคะ
- ใช้น้ำลายเทียม : เดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์น้ำลายเทียมวางจำหน่ายในหลากหลายรูปแบบ เช่น สเปรย์ เจล หรือน้ำยาบ้วนปาก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปากได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนนะคะเพื่อจะได้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับเรามากที่สุดค่ะ
- เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมปราศจากน้ำตาล : การเคี้ยว หรืออมช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำตาลเพื่อป้องกันฟันผุ
- หลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่มที่ทำให้ปากแห้ง : ลดการบริโภคคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารรสเผ็ดจัด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจทำให้อาการปากแห้งแย่ลงไปอีกค่ะ
- ใช้เครื่องพ่นไอน้ำในห้อง : การเพิ่มความชื้นในอากาศช่วยลดอาการปากแห้งได้ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนหรือในสภาพอากาศแห้ง
- งดสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่ทำให้ปากแห้งและระคายเคือง การเลิกสูบบุหรี่จะช่วยบรรเทาอาการได้
- ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ : แปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ
- ปรับวิธีการหายใจ : พยายามหายใจทางจมูกแทนการหายใจทางปาก เพื่อลดการสูญเสียความชื้นในช่องปาก
- เช็กยาที่ใช้ : ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการปากแห้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยาหากจำเป็น
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปาก : ทาลิปบาล์ม หรือวาสลีนเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปาก
- รับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ : เลือกอาหารที่มีน้ำมาก เช่น ซุป สลัด ผลไม้ และผักสด เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในปาก
- พบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ : ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำเพื่อป้องกันและรักษาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะปากแห้ง
หากอาการปากแห้งรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากบางครั้งอาจเป็นอาการของโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคอื่นๆ ดังนั้นการได้รับการวินิจฉัยที่ตรงจุด ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและเร็วกว่าค่ะ
ดื่มน้ำแค่ไหน ถึงจะเรียกว่าเพียงพอ ?
ในร่างกายของคนเราแต่ละคนนั้นย่อมมีความแตกต่าง ดังนั้นการดื่มน้ำที่เพียงพอของแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศสภาพ สุขภาพ ลักษณะทางกายภาพ โดยที่สามารถใช้คำนวณหาจำนวนน้ำที่พอดีกับเรานั่นคือ น้ำหนัก x 2.2 x 30 และหารด้วย 2 เช่น 60 x 2.2 x 30 และหารด้วย 2 จะได้ผลคือ 1980 หรือกล่าวคือในหนึ่งวันของคนที่น้ำหนัก 60 กิโลกรัมควรดื่มน้ำในปริมาณ 1980 มิลลิลิตร หรือประมาณ 2 ลิตรนั่นเอง ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ดื่มก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำด้วย เช่น นักกีฬาอาจจะต้องการน้ำมากกว่าคนทั่วไปนั่นเอง เราสามารถใช้สูตรนี้เพื่อควบคุมให้เราไม่ดื่มน้ำเยอะเกินไปหรือน้อยเกินไป
เกร็ดสุขภาพ : การดื่มน้ำที่เหมาะสม ไม่เพียงแค่ช่วยในส่วนของภาวะปากแห้ง แต่ยังช่วยแทบทุกกระบวนการในร่างกาย เพราะว่าน้ำคือส่วนประกอบสำคัญในร่างกายของมนุษย์เรา โดยที่ในร่างกายของเรามีน้ำอยู่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ เมื่อเราดื่มน้ำในปริมาณที่พอดีกับที่ร่างกายของเราต้องการ น้ำจะช่วยดูแลรักษาสมดุลร่างกายให้ทำงานอย่างเป็นปรกติ ไม่ว่าจะเป็นระบบหมุนเวียนเลือด ระบบขับถ่าย ช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวดูสดใสและชุ่มชื้น แถมยังช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมองอีกด้วย
ทุกท่านคงทราบถึงสาเหตุแล้วว่า ทำไมกินน้ำเยอะ แต่ปากแห้ง และได้รู้กันแล้วว่าควรจะดื่มน้ำวันละเท่าไหร่ อย่าลืมว่าน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากต่อร่างกายของมนุษย์เรา หมั่นเตือนตนเองให้ดื่มน้ำตามระหว่างวัน และถ้าไม่อยากกลับมาปากแห้งอีก ก็นำวิธีที่เรานำเสนอไปลองใช้กันดูนะคะ
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ