“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
ทำ MRI คือ อะไร ? ต่างจาก CT Scan ยังไงบ้าง ? แนะนำนวัตกรรมการตรวจสุขภาพเชิงลึก อัปเดตปี 2024
หลายคนคงเคยสงสัยเรื่องการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ทำไมมีอะไรมากมายหลายอย่าง ตรวจเพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ ทำไมบางครั้งตรวจ CT Scan คือยังไม่จบ ต้องตรวจ MRI เพิ่มเพราะอะไร บทความนี้จะอธิบายความแตกต่างของเทคนิคการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ทั้งสองแบบ รวมถึงแนะนำเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพใหม่ๆ ที่น่าสนใจในปี 2024 ไว้ให้รู้ทันเทรนด์สุขภาพกันค่ะ
ทํา MRI คือ อะไร ? ชวนรู้จักนวัตกรรมตรวจสุขภาพเชิงลึกกัน !
MRI ย่อมาจาก “Magnetic Resonance Imaging” โดยคำว่า Magnetic หมายถึง แม่เหล็ก Resonance หมายถึง การสั่นพ้องกันของคลื่น Imaging หมายถึง การสร้างภาพ การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงของ MRI ช่วยให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดและความคมชัดสูง สามารถแยกแยะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างชัดเจน จึงเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคและติดตามการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง ไขสันหลัง และกระดูกอ่อน
การทำ MRI คืออะไร?
MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นเทคโนโลยีการสร้างภาพของอวัยวะและเนื้อเยื่อภายในร่างกายอย่างละเอียดด้วยการสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ ไม่ต้องใช้รังสีเอกซ์ เหมือนใน CT Scan คือ จะเสมือนทำให้แพทย์ได้เห็นลักษณะเนื้อของอวัยวะภายใน เช่น สมอง ไขสันหลัง และเส้นเอ็น ได้อย่างชัดเจน การทำ MRI คือ การช่วยให้วินิจฉัยโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและการบาดเจ็บของ ข้อเข่า ข้อต่อต่างๆ รวมทั้งเนื้อเยื่ออ่อน มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
หลักการทำงาน
- ใช้คลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กแรงสูงเพื่อสร้างภาพของร่างกาย
- สร้างภาพจากการเรียงตัวของโปรตอนในน้ำของเซลล์ร่างกาย โดยตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงพลังงานของโปรตอนในเนื้อเยื่อต่างๆ
ประโยชน์
- เหมาะสำหรับการตรวจสอบเนื้อเยื่ออ่อน เช่น สมอง เส้นประสาท กล้ามเนื้อ ข้อต่อ
- สามารถแสดงภาพในมิติที่แตกต่างกันได้ชัดเจน
ข้อจำกัด
- ใช้เวลาในการตรวจสอบนานกว่า CT scan
- มีข้อห้ามสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะในร่างกาย เช่น pacemaker
- ราคาค่าตรวจสูง
การใช้งานของ MRI
- ตรวจสมอง และระบบประสาท
- ตรวจไขสันหลัง
- ตรวจข้อต่อและเส้นเอ็น4. ตรวจเนื้อเยื่ออ่อนในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต
เกร็ดสุขภาพ : คำแนะนำในการตรวจ MRI มีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
1) การเตรียมตัว : ถอดอุปกรณ์โลหะทั้งหมดออกจากร่างกาย แจ้งแพทย์หากมีอุปกรณ์โลหะในร่างกาย
2) การทำตามคำแนะนำ : นอนนิ่งๆ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ระหว่างการตรวจ อาจต้องใช้ที่ปิดหูหรือฟังเพลงเพื่อลดเสียงรบกวน
3) หลังการตรวจ : สามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที
CT Scan คืออะไร ?
CT Scan (Computed Tomography) เป็นการใช้รังสีเอกซ์ในการสร้างภาพตัดขวางของร่างกาย โดยคอมพิวเตอร์จะประมวลการสร้างภาพสามมิติที่มีความละเอียดสูง ข้อดีของ CT Scan คือสามารถแสดงรายละเอียดของกระดูก หลอดเลือด และอวัยวะภายในที่มีการเกิดพยาธิสภาพได้ชัดเจน ใช้เวลาในการตรวจสั้นกว่า MRI สามารถตรวจหา การมีเลือดออกในสมอง TIA หรือการแตกของหลอดเลือดในกรณีฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว
หลักการทำงาน
- ใช้รังสีเอกซ์ในการสร้างภาพ
- ภาพที่ได้เกิดจากการคำนวณโดยคอมพิวเตอร์จากการปล่อยรังสีเอกซ์ผ่านร่างกายแล้วจับภาพหลายๆ มุม
ประโยชน์
- เหมาะสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างกระดูก อวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ ไต
- ใช้เวลาในการตรวจรวดเร็วกว่า MRI
- สามารถตรวจหาการแตกหักของกระดูกและการเกิดเลือดออกในสมองได้อย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัด
- ใช้รังสีเอกซ์ซึ่งมีผลต่อการรับรังสีของร่างกาย
- ภาพของเนื้อเยื่ออ่อนอาจไม่ชัดเท่า MRI
- การใช้รังสีทำให้ไม่เหมาะกับการตรวจสอบบ่อยครั้งหรือในเด็กและหญิงตั้งครรภ์
การใช้งานของ CT Scan
- ตรวจสมองและกะโหลกศีรษะ
- ตรวจทรวงอกและปอด
- ตรวจช่องท้องและอุ้งเชิงกราน
- ตรวจกระดูกและข้อต่อ
- ตรวจหลอดเลือด
เกร็ดสุขภาพ : คำแนะนำในการตรวจ CT Scan มีรายละเอียดดังนี้
1) การเตรียมตัว : อาจต้องอดอาหารหรือดื่มน้ำมากๆ ก่อนการตรวจ หากต้องฉีดสารทึบรังสี และถอดอุปกรณ์โลหะทั้งหมดออกจากร่างกาย แจ้งแพทย์หากตั้งครรภ์หรือมีโรคไต
2) การทำตามคำแนะนำ : นอนนิ่งๆ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ระหว่างการตรวจ
3) หลังการตรวจ : ดื่มน้ำมากๆ หากมีการฉีดสารทึบรังสี เพื่อช่วยขับสารออกจากร่างกาย
การทำ MRI คือเทคนิคการตรวจวินิจฉัยที่มีความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกับ CT scan เพื่อให้ แพทย์เลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณ ะและประเภทของการตรวจที่ต้องการ สรุปความแตกต่างของการตรวจทั้งสองแบบได้ดังตาราง
ตารางเปรียบเทียบการทำงานของ MRI และ CT Scan:
รายการ | MRI (Magnetic Resonance Imaging) | CT Scan (Computed Tomography) |
หลักการทำงาน | ใช้คลื่นวิทยุและสนามแม่เหล็กแรงสูง | ใช้รังสีเอกซ์ในการสร้างภาพตัดขวาง |
การใช้งาน | เหมาะสำหรับการตรวจสอบเนื้อเยื่ออ่อน เช่น สมอง เส้นประสาท กล้ามเนื้อ ข้อต่อ | เหมาะสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างกระดูก อวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ ไต |
ข้อจำกัด | ใช้เวลานานกว่า และไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์โลหะในร่างกาย เช่น pacemaker | ใช้รังสีเอกซ์ มีผลต่อการรับรังสีของร่างกาย ไม่เหมาะสำหรับการตรวจบ่อยครั้งหรือในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ |
ประโยชน์ | แสดงภาพในมิติที่แตกต่างกันได้ชัดเจน ไม่มีการใช้รังสีเอกซ์ | ตรวจหาการแตกหักของกระดูกและการเกิดเลือดออกในสมองได้อย่างรวดเร็ว |
นวัตกรรมการตรวจสุขภาพอื่นๆ ในประเทศไทย
เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้ว่า การทำ MRI คืออะไร และ CT Scan คืออะไร นอกจากสองอย่างนี้แล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้เทคโนโลยีการตรวจสุขภาพอื่นๆ ที่น่าสนใจ อีกมากมาย เช่น
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) : Ultrasound ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพของอวัยวะภายใน ไม่ใช้รังสีเอกซ์ จึงปลอดภัยต่อผู้ป่วยและทารกในครรภ์ ใช้ตรวจอวัยวะในช่องท้อง หัวใจ และตรวจครรภ์ได้อย่างแม่นยำ
- การตรวจด้วยเทคโนโลยี Positron Emission Tomography (PET Scan) : PET Scan ใช้ในการตรวจสอบการทำงานของอวัยวะและเนื้อเยื่อในร่างกาย มักใช้ร่วมกับ CT Scan หรือ MRI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคมะเร็งและโรคหัวใจ
- การตรวจด้วยเทคโนโลยี Dual-Energy X-ray Absorptiometry (DEXA) : DEXA ใช้ในการวัดความหนาแน่นของกระดูก เพื่อวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนและความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก
นวัตกรรมการตรวจสุขภาพใหม่ๆ ที่น่าสนใจในโลกของเรา
และในปี 2024 นี้ เทคโนโลยีการแพทย์พัฒนาอย่างรวดเร็ว มีนวัตกรรมการตรวจสุขภาพที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์มากขึ้นในประเทศต่างๆ โดยสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้
1. การตรวจสุขภาพด้วย Liquid Biopsy
Liquid Biopsy เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ตัวอย่างเลือดในการตรวจหาเซลล์มะเร็งหรือสารบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarkers) ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สามารถตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเจ็บปวดและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ประเทศที่นำพัฒนาเทคโนโลยีนี้เมาใช้แล้ว เข่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร
2. การตรวจสุขภาพด้วย AI-Assisted Imaging
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ เช่น X-ray, MRI และ CT Scan คือ ช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น AI สามารถช่วยแพทย์ในการตรวจจับพยาธิสภาพที่มีขนาดเล็กและซับซ้อน ซึ่งอาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ประเทศที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ได้แก่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
3. การตรวจสุขภาพด้วย Wearable Health Devices
อุปกรณ์สวมใส่ที่ใช้ในการติดตามและตรวจสุขภาพ เช่น สมาร์ทวอทช์ที่สามารถวัดการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด และความดันโลหิตได้ อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสุขภาพได้ด้วยตนเองแบบเรียลไทม์ และสามารถแชร์ข้อมูลสุขภาพกับแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษาได้ ประเทศที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างก้าวหน้า ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และจีน
โดยสรุป CT Scan คือการตรวจด้วยรังสี และการ ทำ MRI คือ การตรวจด้วยคลื่น เป็นเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยวินิจฉัยโรคต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เพื่อช่วยในการวางแผนการรักษา ซึ่งนอกจากเทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว ยังมีนวัตกรรมการตรวจสุขภาพอื่นๆ ที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย เช่น Ultrasound, PET Scan และ DEXA ส่วนในปี 2024 ความสามารถในการตรวจหาพยาธิสภาพและการติดตามสุขภาพพัฒนาอย่างมาก นวัตกรรมเหล่านี้แสดงถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพและการวินิจฉัยโรคอย่างมีประสิทธิภาพ และจะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมมีความสามารถในการช่วยวิเคราะห์และหาความผิดปกติ การติดตามผลเพื่อมาใช้ควบคู่การดูแล ดังนั้นการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลยังเป็นเรื่องที่สำคัญ และการใช้นวัตกรรมต้องควบคู่กับการวินิจฉัยและดุลพินิจของทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาเพื่อผลประโยชน์ที่สูงสุดในการใช้นวัตกรรมการวินิจฉัยนั่นเอง
Featured Image Credit : vecteezy.com/mungmeestudio
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ