“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
ศิลปะการป้องกันตัว มีอะไรบ้าง ? เรียนป้องกันตัวที่ไหนดี ?
ปัจจุบันการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมีหลายแบบ ทั้งการเล่นกีฬาประเภทต่างๆ อย่างฟุตบอล บาสเก็ตบอล ปิงปอง แบตมินตัน ฯลฯ หรือจะเป็นการออกกำลังกายด้วยการคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง เล่นพิลาทิส รวมถึงการฝึก ศิลปะป้องกันตัว ก็เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะได้ขยับเยื่อนร่างกายและได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้ทักษะการป้องกันตัวอีกด้วย โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ปัจจุบันสนใจเรียนป้องกันตัวมากขึ้น ศิลปะในการป้องกันตัวจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ
ชวนรู้จัก ศิลปะการป้องกันตัว มีอะไรบ้างมาดูกัน !
ศิลปะการป้องกันตัว หรือศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว (Martial Arts) เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่เน้นการเรียนและการฝึกฝนด้านการต่อสู้และการป้องกันตัว ปัจจุบันมีการศึกษาอย่างแพร่หลาย ทั้งในเชิงการกีฬา เพื่อฝึกฝนให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งยังเป็นการฝึกฝนจิตใจอีกด้วย เพราะศาสตร์ป้องกันตัวบางอย่างต้องใช้สมาธิสูง ผู้ที่มีภาวะสมาธิสั้นหรือ ADHD ก็สามารถเรียนเพื่อฝึกสมาธิได้ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวปัจจุบันนิยมแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
- ศิลปะการต่อสู้แบบกีฬา : ถูกสอนเพื่อการต่อสู้ป้องกันตัวโดยมักจะลดความรุนแรงลง มีกติกาเพื่อใช้ในการแข่งขัน เช่น คาราเต้ มวย เทควันโด้ เคนโด้ กังฟู โววีนัม
- ศิลปะการต่อสู้ที่ยึดตามแบบแผนเดิม : มักจะถูกสอนโดยยึดถือแบบแผนเดิมจากอดีต ไม่มีการแข่งขัน โดยจะเป็นการสอนเพื่อการต่อสู้และป้องกันตัวเท่านั้น เช่น มวยไทยโบราณ ไอคิโด้ นินจุตสุ
ทั้งนี้ ศิลปะป้องกันตัวแต่ละแบบมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง มีวิธีการฝึกอย่างไร มีวิธีการเล่นอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ
เกร็ดสุขภาพ : ศิลปะป้องกันตัวอาจแบ่งกลุ่มตามลักษณะการต่อสู้ได้ ดังนี้
– การฟาด เช่น มวย กังฟู
– การเตะ เช่น มวยไทย เทควันโด้
– การเหวี่ยงทุ่ม เช่น ยูโด มวยปล้ำ ไอคิโด้ ฮับกิโด
– การใช้อาวุธ เช่น เคนโด้ กระบี่กระบอง การฟันดาบ อิไอโด
– การล็อก เช่น ยูยิสสู
1. มวยไทย (Muay Thai)
ถ้าพูดถึงศิลปะการป้องกันตัว ก็ต้องนึกถึงมวยไทยเป็นอันดับแรกเลยค่ะ มวยไทยมีประวัติมาอย่างยาวนาน มวยไทยมีกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ศิลาจารึกสมัยกรุงสุโขทัยก็ได้กล่าวถึงมวยไทยไว้แล้ว มวยไทยนั้นมีชื่อเสียงระดับโลก และนักมวยไทยหลายๆ คนก็มีชื่อเสียงในระดับสากล เช่น บัวขาว บัญชาเมฆ แสนชัย ( ศุภชัย แสนพงษ์ ) รวมถึงภาพยนตร์เรื่ององก์บากและต้มยำกุ้งก็ทำให้มวยไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีลีลาท่าทางดุเดือด และในขณะเดียวกันก็มีความสวยงามและมีความเป็นเอกลักษณ์มากๆ ซึ่งจะมีท่าเรียกเฉพาะ เช่น ท่าหนุมานถวายแหวน ท่าจระเข้ฟาดหาง ท่าอิเหนาแทงกริช เป็นต้น
2. กระบี่กระบอง (Krabi -Krabong)
กระบี่กระบองเป็นการแสดงสาธิตวิธีการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธโบราณของไทย โดยทำเลียนแบบอาวุธจริง เช่น ดาบ พลอง ง้าว กระบี่ และยังมีอุปกรณ์ป้องกันตัวอย่างดั้ง เขน โล่ ไม้ศอกสั้น เป็นต้น กระบี่กระบองเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของไทยที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณหลายชั่วอายุคน ปัจจุบันกลายเป็นศิลปะการกีฬาประจำชาติไทยอย่างหนึ่ง และเป็นกีฬาที่ฝึกกายและใจอย่างยอดเยี่ยม โดยยึดหลัก 3 ประการคือ 1) อบรมจิตใจให้กล้าหาญอยู่เสมอ ไม่ครั่นคร้ามต่อภัยอันตรายทั้งปวง 2) บำรุงกายบำรุงใจให้แข็งแกร่งมั่นคงอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญต่อความยากลำบาก 3) อบรมและฝึกฝนให้แม่นยำชำนาญในวิทยาการอันเกี่ยวกับการรบโดยเฉพาะ
3. กังฟู (gōngfu)
กังฟู หรือวูซู เป็นศิลปะการป้องกันตัวของจีนที่มีประวัติเป็นร้อยปี โดยมีรูปแบบการต่อสู้ที่แยกตามลักษณะเฉพาะของกลุ่มสำนัก ซึ่งเป็นการออกท่าทางและออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับการจำลองทางกายภาพของสัตว์หรือวิธีการฝึกอบรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาจีน ศาสนา และตำนาน ในลักษณะที่มุ่งเน้นของพลังงานภายใน เป็นการใช้สมาธิควบคุมการออกท่าทาง เป็นการฝึกจิต สมาธิ สติ เพื่อนำไปสู่การมีปัญญา โดยมีหลักที่จะทำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จคือ มีความอดทน ขยัน มีพรสวรรค์ มีประสบการณ์ และสามารถนำความรู้รอบตัวมาประยุกต์ใช้ได้
4. ยูโด (Judo)
กีฬายูโดถูกคิดค้นโดยคาโน จิโงโระ ชาวญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2425 มีชื่อเต็มว่า โคโดกัง ยูโด เป็นการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่าเพื่อเสริมสร้างให้ผู้คนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี รวมถึงมีคุณธรรมไปในตัว ยูโดเป็นหนึ่งในกีฬาที่ถูกบรรจุในการแข่งขันโอลิมปิก เป็นกีฬาที่เน้นการทุ่มด้วยมือ ทุ่มด้วยสะโพก ทุ่มด้วยไหล่ ปัดขา ล็อกข้อต่อ และรัดคอ เพื่อให้เล่นงานคู่ต่อสู้ ยูโดในปัจจุบันเป็นกีฬาสากลประเภทบุคคล มีหลักการและวัตถุประสงค์คือ มุ่งบริหารร่างกายและจิตใจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้แรงให้น้อยที่สุด ยูโดใช้วิธีการโอนอ่อนผ่อนตาม หรือ “Gentleness or soft way” แม้คนที่ตัวเล็กกว่าหรือมีน้ำหนักน้อยกว่า หรือมีพละกำลังน้อยกว่าก็สามารถต่อสู้กับผู้ที่มีลักษณะเหนือกว่าได้
5. เทควันโด (Taekwondo)
เทควันโดก็เป็นศิลปะการป้องกันตัวอีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีต้นกำเนิดมาจากเกาหลี เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่พัฒนามาจากศาสตร์การต่อสู้ป้องกันตัว เน้นไปที่การเตะเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในระยะประชิด คำว่าเท แปลว่าเท้า / ควัน แปลว่ามือ/ โด แปลว่าวิถีหรือสติปัญญา เทควันโดจึงเป็นการต่อสู้ป้องกันตัวโดยใช้มือและเท้าอย่างมีสติ เทควันโดเป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่เป็นกีฬาโอลิมปิกเพราะได้รับการสนุบสนุนจากรัฐบาลเกาหลีใต้และมีความแตกต่างทางด้านการต่อสู้เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ระดับความเก่งนั้นก็มีตั้งแต่สายขาวซึ่งเป็นสายเริ่มต้น ไปจนถึงสายดำที่มีทั้งหมด 10 ระดับค่ะ
6. คาราเต้ (Karate)
คาราเต้เป็นศิลปะการป้องกันตัวที่ถือกำเนิดที่เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น เป็นการผสมผสานการต่อสู้ของชาวโอกินาว่าและชาวจีน เป็นการต่อสู้โดยใช้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น กำปั้น เท้า สันมือ นิ้ว ศอก เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อถูกดัดแปลงเป็นกีฬาแล้วจะใช้เพียงมือและเท้าเท่านั้น คำว่าคาราเต้ แปลว่า วิถีแห่งการใช้มือ (ร่างกาย) ต่อสู้โดยปราศจากอาวุธ วิถีแห่งคาราเต้เป็นวิธีการดึงพลังจากทั้งร่างกายมารวมให้เป็นหนึ่งในการต่อสู้โจมตี เป็นการฝึกทักษะการต่อสู้ซึ่งมีกระบวนท่าต่างๆ มาร้อยเรียงเป็นเพลงมวย และต้องมีการใช้สมาธิเพื่อจดจำเทคนิครูปแบบการต่อสู่แบบต่างๆ อีกด้วย
7. ไอกิโด (Ikedo)
ไอกิโดเป็นศิลปะการป้องกันตัวจากญี่ปุ่น เป็นการรวมศิลปะการต่อสู้ ปรัชญา และความเชื่อทางศาสนาไว้ด้วยกัน ไอกิโดมีความหมายว่า “หนทางแห่งการรวมพลังงานชีวิต” หรือ “หนทางแห่งจิตวิญญาณที่ประสานกัน” เป้าหมายของไอกิโดคือ ให้ผู้ฝึกฝนใช้ป้องกันตัวและป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บในขณะเดียวกัน การฝึกไอกิโดเป็นการฝึกทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทักษะของศาสตร์แขนงนี้จะมีทั้งการทุ่ม การกระแทก การยืด และการป้องกันตัวแบบฟรีสไตล์กับคู่ต่อสู้หลายคน และมีเทคนิคการใช้อาวุธอีกด้วย เช่น ไม้พลอง ดาบไม้ หรือมีดสั้น การฝึกไอกิโดนั้นจะเน้นการเคลื่อนไหวทั้งร่างกายและการทรงตัวที่ประสานกัน และยังเน้นไปที่การฝึกผ่อนคลายจิตใจและร่างกายแม้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดัน เพื่อให้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญและเที่ยงตรง
8. มวยปล้ำ (Wrestling)
มวยปล้ำเป็นศิลปะการป้องกันตัวที่มีความน่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง มีประวัติยาวนานมากกว่า 15,000 ปี ปัจจุบันพัฒนาเป็นกีฬามวยปล้ำซึ่งเป็นการโจมตีคู่ต่อสู้โดยใช้ส่วนที่แข็งแรงของร่างกาย การเข้าปะทะ และการโจมตีในรูปแบบอื่นๆ ทักษะของนักมวยปล้ำมักจะมีความคล่องแคล่วสูง รู้จักการหลบหลีกได้เป็นอย่างดี ใช้เพื่อป้องกันการถูกฝ่ายตรงข้ามรวบตัวและกดลงพื้น แต่ถ้าถูกกดลงพื้น ทักษะมวยปล้ำก็ทำให้สามารถลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และมวยปล้ำยังมีท่าล็อก ท่าจับทุ่มต่างๆ ที่สามารถเอามาใช้ป้องกันตัวได้อีกด้วยค่ะ
9. บราซิลเลียนยิวยิตสู (Brazilian jiu-jitsu)
บราซิลเลี่ยนยิวยิตสู เป็น ศิลปะการป้องกันตัว ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แม้แต่เด็กๆ ก็ฝึกได้ รู้จักกันในชื่อ “ศาสตร์การต่อสู้อันอ่อนโยน” หรือ “The gentle art” สอนให้ผู้เรียนเอาตัวรอดผ่านการปล้ำจับล็อก มีจุดเด่นทั้งการทุ่มและการควบคุมคู่ต่อสู้จากทางด้านบน คล้ายกับการเอากีฬายูโดมาผสมกับมวยปล้ำแล้วมีการฝึกท่าจับล็อกบนเพิ่มเข้าไป การฝึกบราซิลเลี่ยนยิวยิตสูหรือ BJJ มีหลักการคือ ความเข้าใจในสรีระสัดส่วนของร่างกาย เน้นการเคลื่อนไหวบนพื้นเพื่อเล่นกับการทรงตัวของคู่ต่อสู้ นำมาซึ่งการล็อกที่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งเวลาฝึกนั้นยังต้องใช้ไหวพริบในการโจมตีคู่ต่อสู้ไปในขณะเดียวกัน จึงเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง และมีไหวพริบที่พร้อมจะรับมือกับสถานการณ์ป้องกันตัวแบบจริงจังมากที่สุด
เกร็ดสุขภาพ : ยิวยิตสูหรือจูจุสึนั้นมีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น ในอดีตประเทศญี่ปุ่นมีสำนักจูจุสึอยู่หลายร้อยสำนัก โดยแต่ละสำนักมีแนวทางในการฝึกของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วจะรับอิทธิพลมาจากศิลปะการต่อสู้โบราณของซามูไรที่เรียกกันว่า ไทจุสสุ ซึ่งหมายถึงศิลปะการใช้ร่างกาย การต่อสู้ของจูจุสึในสมัยก่อนนั้นจะเป็นการต่อสู้แบบไม่มีกติกาและจะทำทุกวิถีทางเพื่อล้มคู่ต่อสู้ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของจูจุสึมีความรุนแรง ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบางครั้งจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้มีการทำการฝึก เมื่อไม่มีผู้สืบทอดวิชาก็ทำให้วิชาจำนวนมากสูญหายไป ปัจจุบันมีการพัฒนาศิลปะการต่อสู้ใหม่ๆ ออกมาทำให้จูจุสึเสื่อมความนิยมลงไปมาก
10. ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน ( Mixed Martial Arts )
ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานหรือ MMA เหมาะสำหรับคนที่อยากฝึกศาสตร์ป้องกันตัวแบบรอบด้าน เป็นการรวมทุกศาสตร์การต่อสู้เอาไว้ด้วยกัน เช่น มวยไทย มวยสากล ยูโด มวยปล้ำ คาราเต้ บราซิลเลี่ยนยูยิตสู และอื่นๆ ทำให้ผู้เรียนมีทักษะการต่อสู้ที่หลากหลายยและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง มีทั้งการเตะต่อย และการทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ด้วยวิธีการต่างๆ นอกจากนี้ ยังเป็นการผสมผสานการเรียนป้องกันตัวต่อสู้หลากหลายรูปแบบจากทางฝั่งกรีกโบราณ จีน อียิปต์ อินเดีย อิตาลี และญี่ปุ่น โดยแต่ละแบบนั้นก็จะมีกติกาแตกต่างกันไปค่ะ
เรียนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่ไหนดี ? เรามีมาแนะนำแล้ว !
ตอนนี้ก็ได้ทราบแล้วว่า ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวมีอะไรบ้าง ถ้าใครมีความสนใจจะเรียน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการออกกำลังกายหรือเพื่อใช้เป็นวิชาป้องกันตัวก็ตาม เราก็มีสถาบันสอนการเรียนวิชาป้องกันตัวมาฝากแล้วค่ะ ในเขตกรุงเทพมหานครจะมีที่ไหนบ้างนั้น ก็เลือกตามความชอบและความสนใจได้เลย
1. Watchara Muay Thai Gym
วัชรา มวยไทยยิม เป็นยิมสอนมวยไทยที่เหมาะสำหรับผู้เรียนทุกระดับ สอนตั้งแต่ทักษะพื้นฐานรวมไปถึงเทคนิคการต่อยมวยที่ถูกต้อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ส่วนผู้เรียนที่มีประสบการณ์แล้ว สามารถฝึกซ้อมร่างกายให้แข็งแรงได้อย่างเต็มที่ ภายในยิมเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ต่อยมวยแบบครบครัน มีให้ทดลองเรียน 2 ชั่วโมงเต็ม สามารถเรียนได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ที่นี่เป็นที่นิยมทั้งในชาวไทยและชาวต่างชาติ ถ้าใครอยากเรียนป้องกันตัวศาสตร์มวยไทย จะลองมาเข้าคลาสเป็นรายชั่วโมงดูก่อนก็ได้นะคะ
ราคาโดยประมาณ : ครั้งละ 420 บาท (2 ชั่วโมง)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : Watchara Muay Thai Gym
แผนที่ :
2. Fire Fist Muay Thai and Fitness
ที่นี่เป็นโรงยิม / สถานที่ออกกำลังกายที่มีการสอนทักษะการป้องกันตัวหลายแบบ โดยเฉพาะมวยไทยนั้น บอกเลยว่าครูฝึกสอนนั้นมีความเชี่ยวชาญมากๆ โดยเฉพาะครูแบงค์ เจ้าของยิมที่ได้รับการฝึกอบรมการออกกำลังกายและการเรียนป้องกันตัวจนได้ใบ certificate มาหลายใบ รับสอนตั้งแต่เด็กๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ แม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็สามารถเรียนได้ ภายในยิมนั้นมีอุปกรณ์ครบครัน การฝึกอยู่ในสายตาครูฝึก มีความปลอดภัย สามารถเรียนได้ทั้งแบบไพรเวทและเป็นกลุ่มเลยค่ะ
ราคาโดยประมาณ : ครั้งละ 199 บาท (1 ชั่วโมง)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : Fire Fist Muay Thai and Fitness
แผนที่ :
3. IMAC DOJO
IMAC DOJO Martial Arts School เป็นโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวที่สอนศิลปะการต่อสู้หลายแขนง ทั้งยูโด คาราเต้ วูซู และรำไหว้ครูมวยไทย ถ่ายทอดวิชาอย่างไม่ปิดบังและให้ความสำคัญกับลูกศิษย์เสมือนหนึ่งคนในครอบครัว มีสอนทั้งแบบ Group Class หรือสอนแบบตัวต่อตัวเป็น Private Class สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาและต้องการกำหนดเวลาเรียนเอง ก็สามารถสอนแบบ Online Class ได้ หลักสูตรศิลปะการต่อสู้ของโรงเรียน IMAC Dojo เหมาะกับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย ทั้งผู้ที่มีทักษะหรือผู้ที่ไม่เคยเรียนการต่อสู้ เหมาะทั้งผู้เรียนเพื่อสุขภาพ หรือเรียนป้องกันตัวก็ได้เช่นกัน หลักสูตรที่ทางโรงเรียนสอนจะเน้นการฝึกเพื่อช่วยเสริมกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ใครอยากเรียนการป้องกันตัวที่มีความหลากหลายที่นี่ก็น่าสนใจค่ะ
ราคาโดยประมาณ : ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร 091 485 5445
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : IMAC Dojo
แผนที่ :
4. Taeground Academy
Taeground Academy เป็นสถาบันที่สอนโดยคุณครูดีกรีอดีตนักกีฬาทีมชาติ เหมาะสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ ซึ่งที่นี่จะเน้นการสอนโดยนำทักษะเทควันโดกับการเล่นในสนามเด็กเล่นมาผสมผสานให้กับนักเรียน นอกจากได้ฝึกฝนยังได้เล่นสนุกออกกำลังกายอีกด้วย ทั้งนี้ ทางสถาบันยังได้มีการออกแบบการสอนเทควันโดให้เหมาะสมกับเด็กๆ แต่ละช่วงวัยอีกด้วย เน้นให้เด็กๆ มีพัฒนาการในทุกๆ ด้าน ทั้งทางสมรรถภาพทางกายและการฝึกสมาธิ พร้อมเสริมทักษะหลายอย่างไปพร้อมกัน โดยที่ไม่ได้เน้นแค่การป้องกันเพียงอย่างเดียวค่ะ
ราคาโดยประมาณ : เริ่มต้นที่เดือนละ 1,800 บาท
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : Taeground Academy
แผนที่ : คลินิกจัดกระดูกใกล้ฉันแห่งนี้เปิดทำการ วันอังคาร 11.00-14.00 น. วันพุธ 12.00-20.30 น. วันพฤหัสบดี 08.00-17.00 น. วันศุกร์ 10.00-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ 08.00-17.00 น. (ปิดวันจันทร์) โทร 097-162-9191
ศาสตร์การต่อสู้ป้องกันตัวมีอะไรบ้าง ตอนนี้ก็ได้ทราบกันไปแล้วนะคะ ใครสนใจแขนงไหนก็สามารถไปสมัครเรียนกันได้ เพราะนอกจากจะได้วิชาป้องกันตัวเอาไว้ใช้ในยามคับขันแล้ว ยังเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย และบางแขนงนั้นก็เป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ นอกจากจะมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นการฝึกสมาธิอีกด้วย ได้ประโยชน์รอบด้านเลยทีเดียวค่ะ ทั้งนี้ หากออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวก็ต้องใส่ใจเรื่องการกินด้วยเช่นกัน ดูแลการกินด้วยอาหารแบบ Balanced Diet พร้อมกับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวนะคะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : gymdesk.com, legendsmma.net, lines.com
Featured Image Credit : freepik.com/master1305
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ