“เพื่อสุขภาพ” ชุมชนสุขภาพ เรื่องราวตรงใจ ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย รุ่นไหนก็รัก ♡
Specialty Coffee คือ อะไร ? ต่างจากกาแฟปกติตรงไหน ? คนรักกาแฟจะต้องรู้ !
ในโลกของกาแฟนั้น มีเรื่องราวของกาแฟและองค์ประกอบในการทำกาแฟมากมายปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กาแฟมีรสชาติอร่อยและมีคุณภาพได้นั้นก็คือ เมล็ดกาแฟนั่นเอง ในปัจจุบันมีทั้งเมล็ดกาแฟธรรมดาที่ขายกันโดยทั่วไปซึ่งเรียกว่า กาแฟ Commercial Grade และกาแฟคัดคุณภาพพิเศษที่เรียกว่า Specialty Coffee สำหรับคอกาแฟที่หลงใหลในโลกของกาแฟและดื่มกาแฟมานานอาจจะเคยได้ยินคำว่า Specialty Coffee กันมาบ้างและทราบดีว่าเป็นกาแฟแบบใด แต่สำหรับนักดื่มมือใหม่หรือผู้ที่สนใจในเรื่องของกาแฟอาจจะยังไม่ทราบแน่ชัด ในบทความนี้ เราจะพามารู้จักกับกาแฟชนิดพิเศษหรือ Specialty Coffee กันให้มากขึ้นค่ะ Specialty Coffee คือ อะไร มีความพิเศษตรงไหน แตกต่างจากกาแฟปกติอย่างไร ทำไมถึงได้รับความนิยมมากขึ้น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร ไปอ่านกันเลยค่ะ
Specialty Coffee คือ อะไร ? คอกาแฟมารู้จักให้มากขึ้นกัน
สำหรับคนที่เป็นคอกาแฟสดและคลุกคลีอยู่กับวงการกาแฟมาสักระยะอาจจะเคยได้ยินชื่อของ Specialty Coffee หรือกาแฟพิเศษกันมาบ้าง แต่อาจจะยังไม่ทราบว่ามันคือกาแฟอะไร ต่างจากกาแฟสดปกติอย่างไร และในปัจจุบันก็กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นด้วย ซึ่ง Specialty Coffee คือกาแฟที่มีคุณภาพพิเศษมากกว่ากาแฟ Commercial Grade ที่ขายโดยทั่วไป เนื่องจากมีการตรวจวัดคุณภาพเมล็ดกาแฟในทุกกรรมวิธีการผลิต ตั้งแต่กระบวนการ Process ไปจนถึงการคั่วเมล็ด ซึ่งกาแฟที่จะถูกยอมรับว่าเป็น Specialty Coffee ได้จะต้องเป็นเมล็ดที่ผ่านกระบวนการคั่ว บด กลั่น ชง จนได้กาแฟที่มีรสชาติดี และได้รับการรับรองว่ามีคุณภาพจากนักชิมกาแฟที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า Cupper หรือ Q – Grader โดยจะมีการทดสอบเมล็ดกาแฟผ่านการชิมที่เรียกว่า Cupping ทั้งในเรื่องของกระบวนการผลิตเมล็ดกาแฟ การทดสอบคุณภาพ การทดสอบกลิ่นและรสชาติ ซึ่งจะต้องได้คะแนน 80 คะแนนขึ้นไป จาก 100 คะแนนเต็ม จึงจะสามารถเรียกว่า Specialty Coffee ได้ค่ะ
เกร็ดสุขภาพ : จุดเริ่มต้นของการเกิด Specialty Coffee นั้น มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ผู้คนนิยมดื่มกาแฟกันมาก เมื่อความต้องการในการบริโภคกาแฟมากขึ้น จึงมีการผลิตกาแฟจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีกาแฟคุณภาพต่ำมากมายในท้องตลาด จนกระทั่งนักชิมกาแฟไม่อาจยอมรับรสชาติและคุณภาพของกาแฟได้ ต้องก่อตั้งสมาคมกาแฟพิเศษในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า Specialty Coffee Association of America (SCAA) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปลูกกาแฟพัฒนาการผลิตเมล็ดกาแฟให้มีคุณภาพมากขึ้น ได้มีการให้คะแนนร้านกาแฟและเมล็ดกาแฟ รวมถึงพัฒนาตลาดกาแฟให้ดีขึ้น ในประเทศไทยเองก็มีสมาคมกาแฟพิเศษไทย (SCATH) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2556 เพื่อพัฒนาตลาดกาแฟไทยโดยเฉพาะเช่นกัน
เกณฑ์การวัดคะแนนของ Specialty Coffee คืออะไรบ้าง ?
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกเม็ดกาแฟที่เป็น Specialty Coffee จะมีเกณฑ์การให้คะแนนอยู่ 10 ข้อด้วยกัน ดังนี้
- Fragrance or Aroma : กลิ่นของเมล็ดกาแฟ
- Flavor : รสชาติของกาแฟ
- Aftertaste : รสชาติที่ค้างอยู่ในปาก
- Acidity : ความเปรี้ยวหรือความเป็นกรดของเมล็ดกาแฟ
- Body : ความหนักแน่นของรสชาติ
- Balance : ความกลมกล่อมของรสชาติ
- Uniformity : ความสม่ำเสมอของรสชาติ
- Clean cup : กาแฟมีรสชาติที่สะอาด (ปราศจากรสและกลิ่นของดิน เชื้อรา สารเคมี และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ)
- Sweetness : ความหวานของกาแฟ
- Overall : ภาพรวมทั้งหมดของกาแฟ
ทั้งนี้ แต่ละเกณฑ์จะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน รวมเป็น 100 คะแนน กาแฟที่จะถูกจัดว่าเป็น Specialty Coffee หรือกาแฟพิเศษได้ จะต้องได้คะแนนรวมมากกว่า 80 คะแนนขึ้นไปค่ะ
ความแตกต่างของกาแฟปกติ กับ Specialty Coffee คือ อะไร ?
ถ้าถามถึงความแตกต่างของกาแฟสดที่ขายกันทั่วไปกับ Specialty Coffee ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างกันมาก อันดับแรกคือ คุณภาพของเมล็ดกาแฟ เพราะกาแฟ Specialty Coffee นั้นจะมีคุณภาพสูงกว่า มีรสชาติที่ซับซ้อนมากกว่า ซึ่งเมล็ดกาแฟชนิดพิเศษ จะเป็นสายพันธ์ุอาราบิกาทั้งหมด แต่กาแฟสดที่ขายกันโดยทั่วไป แต่ละร้านอาจมีการผสมเมล็ดกาแฟทั้งอาราบิกาและโรบัสต้า อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือ วิธีการชง โดยกาแฟ Specialty Coffee จะนิยมดื่มกันแบบกาแฟดำร้อนเท่านั้น ผ่านการดริปเป็นส่วนใหญ่ เพื่อดึงเอารสชาติออกมาให้ได้มากที่สุด แต่กาแฟสดที่ขายกันโดยทั่วไปมีการนำไปผสมนมและน้ำตาล เป็นเมนูประเภทของกาแฟต่างๆ เช่น ลาเต้ คาปูชิโน่ มอคค่า แฟลตไวท์ เดอร์ตี้ และอื่นๆ อีกมากมาย
สาเหตุที่กาแฟพิเศษนิยมดื่มแบบร้อนเท่านั้น ก็เพื่อจะได้สัมผัสกับรสชาติของกาแฟนั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ทั้งกลิ่น และเทสต์โน้ตต่างๆ ที่จะมีรสชาติหลากหลาย ทั้งให้กลิ่นของผลไม้หรือดอกไม้บางชนิด กาแฟบางชนิดอาจให้กลิ่นและรสที่คล้ายกับสมุนไพรหรือชา ซึ่งก็แล้วแต่แหล่งปลูกและกรรมวิธีในการ Process (การแปรรูปกาแฟ) ว่าจะทำให้รสชาติออกมาเป็นแบบใด หลายๆ คนชอบดื่มกาแฟชนิดพิเศษเพราะนับเป็นความสนุกอย่างหนึ่งที่จะได้สัมผัสกับรสชาติอันหลากหลายของกาแฟในแต่ละท้องที่ ซึ่ง Specialty Coffee ไม่ได้มีเฉพาะในไทยหรือในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่แหล่งปลูกกาแฟอาราบิกาทั่วโลกก็สามารถทำกาแฟชนิดพิเศษได้ หากปัจจัยในการผลิตกาแฟส่งเสริมให้เมล็ดกาแฟนั้นๆ มีคุณภาพดีจนสามารถให้คะแนนในระดับ Specialty Coffee ได้
เกร็ดสุขภาพ : การ Process กาแฟหรือการแปรรูปกาแฟ หมายถึงกระบวนการแปรรูปผลกาแฟที่เป็นเชอร์รี่กาแฟ ให้ได้เป็นสารกาแฟ หรือ Green Bean ซึ่งเป็นเมล็ดกาแฟดิบก่อนที่จะนำไปคั่ว ปัจจุบันวิธีการแปรรูปผลกาแฟมีอยู่ 3 วิธีคือ Washed Process, Dry Process และ Honey Process ทั้งนี้ กระบวนการแปรรูปที่ต่างกัน ก็ทำให้รสชาติของกาแฟของมาต่างกันด้วย
ประโยชน์ของ Specialty Coffee คืออะไร ?
กาแฟชนิดพิเศษ นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของรสชาติและคุณภาพแล้ว ในเรื่องประโยชน์ทางสุขภาพก็มีมากมายไม่แพ้กัน โดยปกติแล้ว กาแฟ ประโยชน์ก็มีมากมาย ไม่ใช่แค่ทำให้หายง่วงหรือช่วยให้ตื่นตัวเท่านั้น มาดูกันค่ะว่า Specialty Coffee จะมีประโยชน์หรือมีข้อดีอย่างไรบ้าง
1. อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
อย่างที่กล่าวไปว่า กาแฟชนิดพิเศษนั้นเป็นกาแฟคุณภาพดี ซึ่งจะต้องมาจากแหล่งปลูกที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นสายพันธ์ุที่ดี นอกจากนี้ กาแฟแบบ Specialty Coffee คือกาแฟที่คั่วในระดับคั่วอ่อน หรือ Light roast เท่านั้น ทำให้ยังคงคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ได้โดยไม่ถูกความร้อนทำลายไปจนหมด มีทั้งไนอะซิน ไรโบฟลาวิน แมงกานิส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
2. ช่วยให้ลำไส้ของเรามีสุขภาพที่ดีขึ้น
ลำไส้ที่แข็งแรงจะประกอบไปด้วยไมโครไบโอมที่หลากหลาย มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่บริโภคกาแฟชนิดพิเศษวันละ 4 ถ้วยจะได้รับประโยชน์จากโพลีฟีนอลและใยอาหารที่สามารถละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นตัวช่วยส่งเสริมจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ของเรา การดื่ม Specialty Coffee จะช่วยทำให้ลำไส้ของเราเคลื่อนตัวได้ดีขึ้น และช่วยลดอาการท้องผูกได้
3. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง
กาแฟ Specialty Coffee คือกาแฟคั่วอ่อน เนื่องจากต้องการรักษารสชาติและความหวานตามธรรมชาติของกาแฟเอาไว้ให้ได้มากที่สุด จึงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ ทั้งนี้ กาแฟตามท้องตลาดทั่วไปอาจมีการคั่วในระดับคั่วเข้มหรืออยู่ในระดับที่เกือบไหม้ ซึ่งอาจก่อสารพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้น การดื่มกาแฟในระดับคั่วอ่อนหรือกาแฟชนิดพิเศษจะช่วยลดความเสี่ยงตรงจุดนี้ได้ เนื่องจากผ่านการคั่วในระดับที่เหมาะสม
4. ปราศจากครีมและน้ำตาล
กาแฟชนิดพิเศษนั้น มักจะนิยมดื่มเป็นกาแฟดำเพื่อให้ได้สัมผัสกับกลิ่นและรสอย่างเต็มที่โดยปราศจากการปรุงแต่ง จึงไม่มีการเติมครีมและน้ำตาลลงไป ผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนักหรือต้องการควบคุมน้ำหนักก็สามารถดื่มได้โดยที่ไม่ต้องกังวลถึงปริมาณไขมันและน้ำตาล รวมถึงผู้ที่เป็นเบาหวานก็สามารถดื่มได้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
5. ปราศจากสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง
การจะได้รับคะแนนในระดับ Specialty Coffee นั้น จะต้องมีกรรมวิธีการปลูกที่โปร่งใสและมีความเป็นธรรมชาติสูง เพราะถ้าหากมีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีก็จะสามารถตรวจสอบได้และไม่ผ่านเกณฑ์ โดยส่วนใหญ่แล้วกาแฟชนิดพิเศษจะมาจากแหล่งปลูกตามธรรมชาติ และปลูกตามวิถีเกษตรอินทรีย์ ทั้งยังใส่ใจในทุกกรรมวิธีการผลิต เพื่อให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพสูง ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าปราศจากสารเคมีและสิ่งเจือปนที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายอย่างแน่นอน
6. เปิดประสบการณ์รสชาติกาแฟใหม่ๆ
กาแฟ Specialty Coffee คือกาแฟที่มีรสและกลิ่นอย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกและกรรมวิธีการผลิตตั้งแต่การแปรรูปไปจนถึงการคั่ว ซึ่งรสชาติของกาแฟนั้นมาจากแร่ธาตุในดิน สภาพอากาศของพื้นที่ปลูก และปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์ – สิ่งแวดล้อมต่างๆ มากมาย ดังนั้น กาแฟแต่ละแหล่งปลูกที่ต่างกัน จึงมีรสชาติที่ต่างกันด้วย เช่น กาแฟจากประเทศอินโดนีเซียบนเกาะสุมาตราที่ปลูกในดินภูเขาไฟจะมีกลิ่นรสที่มีความเป็นสมุนไพรและเครื่องเทศ ทั้งยังให้รสที่เข้มข้นคล้ายกับช็อกโกแลต ในขณะที่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทยจะให้กลิ่นรสที่มีความเป็นผลไม้สูง มีความเปรี้ยว ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น เป็นต้น ซึ่งการดื่มกาแฟชนิดพิเศษจะช่วยให้เราเปิดสัมผัสทางด้านกลิ่นและรสได้อย่างหลากหลายเลยทีเดียว
7. มีความปลอดภัยสูง
อย่างที่ทราบกันว่า กาแฟชนิดพิเศษนั้นจะต้องมีคุณภาพสูงมาก ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะผลิตได้ในปริมาณไม่มากและไม่ได้เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมแต่อย่างใด แต่เป็นการผลิตที่มีความพิถีพิถันสูงตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการชง ถูกเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม ปราศจากเชื้อรา คั่วในระดับที่เหมาะสมเพื่อดึงเอารสชาติของกาแฟออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งกระบวนการทำกาแฟชนิดพิเศษนั้น เรียกได้ว่าผู้ผลิตจะต้องใส่ใจในคุณภาพและความสะอาดมากๆ จึงสามารถดื่มได้โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของความปลอดภัยเลยค่ะ
ในตอนนี้ก็ได้ทราบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า Specialty Coffee คืออะไร มีความแตกต่างจากกาแฟปกติทั่วไปอย่างไร มีเกณฑ์การคัดเลือกแบบไหนบ้าง ใครที่เป็นคอกาแฟหรือดื่มกาแฟเป็นประจำอยู่แล้ว จะลองหันมาดื่มกาแฟชนิดพิเศษดูบ้างก็ได้นะคะ เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์การดื่มกาแฟแบบใหม่ที่จะทำให้เราสนุกกับการสัมผัสกลิ่นรสใหม่ๆ ของกาแฟมากขึ้น ซึ่งเป็นรสชาติของกาแฟนั้นๆ โดยเฉพาะ ไม่ได้มีการเติมแต่งกลิ่นรสเพิ่มเติมแต่อย่างใด ทั้งนี้ กาแฟพิเศษจะมีราคาสูงกว่ากาแฟปกติโดยทั่วไป แต่นั่นก็หมายถึงการมีคุณภาพที่สูงกว่า แต่ถ้าหากใครต้องการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพ จะเปลี่ยนจากดื่มกาแฟนมใส่น้ำตาลมาเป็นกาแฟสดดำที่คั่วอ่อน ก็ถือว่าได้ประโยชน์จากการดื่มกาแฟแล้วค่ะ และก็อย่าดื่มเพลินจนเกินไป ต้องระวังในเรื่องของปริมาณคาเฟอีนด้วยนะคะ เพราะถ้าได้รับคาเฟอีนมากเกินไป ก็จะเป็นโทษต่อร่างกายได้เช่นกัน ขอให้ทุกคนสนุกกับการดื่มกาแฟค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : scath.org, thespecialtycoffeecompany.com, coffeesemantics.com, scaa.org
Featured Image Credit : vecteezy.com/joeparin
ติดตามเราได้ที่ … เฟสบุ๊ค : เกร็ดสุขภาพ